[You must be registered and logged in to see this image.]
น.ณ.ปาก น้ำ
จากหนังสือ 5รอบ ประยูร อุลุชาฎะ
สำนักพิมพ์มติชน
จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาสที่อาจารย์ ประยูร อุลุชาฎะ ผู้เขียน อายุครบ60ปี
ลิขสิทธ์หนังสือเล่มนี้
อุทิศให้เป็นกองทุน ศิลป พีระศรี
เพื่อนำเงินช่วยเหลือศิลปินด้านจิตรกรรม
---------------------------
ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือของ มาร์ค รอสกิลล์ เรื่อง "จดหมายของแวนก๊อก"ในหนังสือเล่มนั้นรวบรวมจดหมายทุกฉบับของแวนก๊อก จิตรกรเอกสมัยโพสท์ อิมเพรสชั่นนิสม์
ซึ่งมีไปถึงน้องชายของเขา ตั้งแต่สมัยที่แวนก๊อกยังเป็นเสมียนหนุ่มแห่งร้านจำหน่ายงานศิลปสาขาใน ลอนดอน จนกลับมาอยู่กับบิดายังฮอลแลนด์แล้วไปเป็นนักสอนศาสนาที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในเบลเยี่ยม ต่อมาก็มาหัดฝึกเขียนภาพที่กรุงเฮก เขาเล่าเรื่องชีวิตไว้อย่างละเอียดลออมาก มีข้อความที่จับใจอยู่หลายตอน เขาพรรณนาถึงตอนที่มีจิตใจโน้มเอียงหันเหมาทางเขียนรูป ในจดหมายเหล่านั้นได้ทราบความจริงว่าธีโอน้องชายของเขาเป็นคนดีและรักพี่ชาย ของเขามาก เป็นคนมีรสนิยมสูง เขาไดถถกันถึงวรรณคดีสูงๆของ วิคเตอร์ ฮิวโก อิมิลโซร่า และมีใจตรงกันที่ต่างก็หลงใหลในภาพเขียนของ เรมบรังค์ และมิลเล่ท์เป็นชีวิตจิตใจ สำหรับแวนก๊อกนั้นจดหมายแทบทุกฉบับ เขาจะพร่ำเพ้อถึงมิลเล่ท์อยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าจิครกรกลุ่มบาร์บิซงแทบทุกคนจะมีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจของแวนก๊อก เป็นอย่างมาก เราได้รับทราบความเป็นจริงว่า นอกจากแวนก๊อกจะเป็นจิตรกรวิเศษที่เข้าถึงแก่นธรรมชาติอย่างแท้จริงแล้ว เขายังเป็นนักอ่านหนังสือตัวยง เขารักและหลงไหลในงานด้านวรรณกรรมและปรัชญาต่างๆ อย่างชนิดหาตัวจับได้ยาก เขาใจกว้างพอที่จะจับในข้อความหลายตอนในเรื่อง"กระท่อมน้อยของลุงทอม" ของแฮเรียต บิชเชอร์สโตว์ และขณะเดียวกันเขาหันไปถกถึงข้อความอันลึกซึ้งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
แม้ ว่าแวนก๊อกจะเป็นชาวดัช และสมัยต้นๆนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเขียนภาพในฝรั่งเศสแต่ตอนนั้นก็หลงไหลใน จิตรกรฝรั่งเศสหลายคน เช่น เดอลา ครัวช์ ดูเปร์,เชริโค และ ดูเมียร์ เขาชอบใจในวาทะของคูร์เบท์ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ''peindre des anges,qui est-ce qui a vu des anges?"(เขียนรูปเทวดาน่ะหรือ!ใครเล่าเคยเห็นบ้าง) เป็นความจริงที่ว่าจิตรกรควรเคารพนับถือความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่ควรจะฟุ้งฝันให้ไกลเกินไปนัก ด้วยเหตุนี้ภาพเขียนของแวนก๊อก จึงดำเนินรอยตามคติของนักเรียลลิสม์ ทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนวิธีการเขียน และเทคนิคการใช้สีนั้น เขาบูชาวิธีการของอิมเพรสชั่นนิสม์
ด้วยการอุปถัมภ์จากบิดาในสมัยที่ท่านยังมี ชีวิตอยู่ และจากธีโอน้องชายได้ช่วยส่งเสียให้เขาเขียนรูปอยู่ได้ตลอดมา-แม้ว่าจะขาย รูปไม่ได้เลย,ภาพเขียนของเขาก้าวไปไกลเกินกว่าที่คนในยุคนั้นจะเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงประสบความคับแค้นใจจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อเขาตายไป ไม่นานเท่าไร จึงเริ่มจะมีคนเข้าใจ และจนเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกว่าเขาเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค
ภาพเขียนของเขาจึงเป็นเรื่องการหลั่งไหล ของอารมณ์ ความรักหลงใหลในธรรมชาติอย่างแท้จริง มันคือตัวแทนในความนึกคิดของเขาแท้ๆยิ่งภาพเขียนสมัยหลังๆ ตอนที่เขาไปอยู่ยังจังหวัดอารส์ภาคใต้ของฝรั่งเศส ตอนนั้นโดนมรสุมของชีวิตอย่างหนักหน่วง ทำให้จิตใจวิปริตไปพักหนึ่ง ถึงแก่ตัดใบหูของตนข้างหนึ่งให้แก่ผู้หญิงหากิน เพียงแต่นางหยอกล้อขอหูของเขาเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นศิลปินและเป็นคนจริงเขาจึงบ้าระห่ำกระทำลงไปโดยไม่คำนึงถึง ตนเองแต่ผลที่ได้รับกลับถูกชาวเมืองกล่าวหาว่าเสียจริต เขาจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาด้วยความหวาดระแวงบนห้องแคบๆของบ้านสีเหลือง ตอนนี้ต้องหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ทำให้เขาเขียนภาพพอทเตรทตัวเองไว้หลายรูป ภาพห้องนอน และภาพสติลไลฟ์ด้วย แต่สิ่งแวดล้อมทำให้เขาถึงแก่คลุ้มคลั่งมองเห็น ไปว่าชาวเมืองพากันรุมวางยาพิษตน ผลที่สุดก็ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลโรคจิต
ระยะนี้น้องชายของเขาแต่งงาน และมีลูกน้อยเกิดตามกันมา เมื่อแวนก๊อกออกจากโรงพยาบาล ก็เข้าปารีส แลได้ไปอยู่นอกชานเมืองปารีสภายใต้ความอุปถัมภ์ของ ด๊อกเตอร์กาเช่ท์ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่เข้าใจและเห็นคุณค่าในงานของเขา ต่อมาไม่นานก็เกิดเรื่องยุ่งยากในครอบครัวของธีโอน้องชาย เพราะเกิดการขัดแย้งกับเจ้าของร้านจำหน่ายงานศิลป ซึ่งธีโอทำงานอยู่ และต้องออกจากงานมาเคว้งคว้าง ระยะนี้เป็นระยะที่จิตใจของแวนก๊อกปั่นป่วนว้าวุ่นขนาดหนัก ข้าพเจ้าได้ถอดข้อความจากจดหมายฉบับหลังๆ และจดหมายฉบับสุดท้ายของแวนก๊อก ถ่ายถอดออกมาให้ท่านผู้อ่าน ได้เห็นความรู้สึกนึกคิดของเขาในขณะนั้น ซึ่งเขาจะเป็นผู้บรรยายและบันทึกเหตุการณ์ด้วยตนเอง และขอให้ดูภาพเขียนชิ้นสุดท้ายของเขาประกอบกันไปด้วย จะทำให้ท่านได้ซาบซึ้งในภาพเขียนของเขายิ่งขึ้น
...................................
[You must be registered and logged in to see this image.]
"ธีโอและโจที่รัก"
เช้าวันนี้พีได้รับจดหมายจากเธอ พร้อมกับเงินห้าสิบฟรังค์ที่สอดมาด้วย ขอขอบใจเป็นอย่างมาก
วันนี้พี่ได้พบ ดร.กาเช่ท์ อีก นัดกันไว้ว่าจะไปเขียนรูปที่บ้านเขาในวันพฤหัสโดยพี่จะไปแต่เช้า แล้วก็จะเลยอยู่รับประทานอาหารด้วย
หลังจากนั้นก็จะไปดูภาพเขียนของพี่ด้วยกัน รู้สึกว่าเขาเป็นคนค่อนข้างจะอ่านได้ง่ายสักหน่อย ท่าทางไม่ค่อยกระตือรือร้นในอาชีพแพทย์ของเขาเท่าไหร่นัก ผิดกับพี่ที่เอาจริงเอาจังต่อการเขียนรูปอยู่ตลอดเวลา พี่บอกกับเขาว่านิสัยของพี่มันคุ้มดีคุ้มร้าย อารมณ์ผันผวนได้ง่าย พอดีพอร้ายอาจยุติมิตรภาพที่มีต่อกันเอาดื้อๆ เขาตอบว่าไม่เป็นไร แม้ว่าจะมีภาวะผันผวน หรือพายุร้ายพัดกระพือในจิตใจพี่สักเพียงไร เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อระงับมันเสีย ถ้าหากมันถึงคราวที่อารมณ์ชนิดอย่างว่านี้มันเกิดขึ้นก็ปล่อยให้มันเป็นไป ตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นจะต้องฝืนความรู้สึกแสร้งจริงใจต่อเขา ดีละ!
ถ้าเป็นไปได้เช่นนี้เมื่อไรที่พี่ต้องการ เขาก็คงจไม่มีอะไรผิดหวัง มันเป็นนิมิตรดีดูท่าทีอะไรต่ออะไรจะแจ่มใสขึ้น คิดว่าต่อไปคงจะดียิ่งไปกว่านี้ พี่ยังคิดเลยเถิดไปอีกว่า ทางภาคใต้นั้นโรคภัยแปลกๆมันชุกชุมมาก พี่เองเคยประสบต่อมันมาแล้วการกลับครั้งนี้คงจะขจัดปัดเป่าเรื่องเหล่านี้ไป ได้หมด
พี่ระลึกถึงหลานตัว เล็กๆของพี่อยู่เสมอ พี่อยากให้แกโตวันโตคืนจะได้มาเที่ยวยังเมืองชนบทที่นี่บ้าง แทนที่จะเดินทางไปฮออลแลนด์อันเป็นกิจวัตรประจำปีที่เธอเตยปฎิบัติ จะเ)นการดีที่สุดถ้าเธอและโจจะนำเจ้าหนูน้อยไปพักผ่อนกับพี่บ้าง ถูกละพี่เข้าใจดีว่าคุณแม่คงอยากจะเห็นหลานของแก นี่ละเป็นเหตุผลที่เธอคงหลีกเลี่ยงไม่พ้น เป็นอันว่าน้องควรต้องไปฮออลแลนด์แน่ๆ แต่พี่ยังคิดว่าคุณแม่คงห่วงใยต่อสุขภาพของเด็กมากกว่าสิ่งอื่น เพราะยังไงไม่ควรที่จะนำเด็กเล็กๆเดินทางไประยะไกลๆเช้นนั้น ซึ่งไม่ให้ผลดีต่อความปลอดภัยของเด็กเลยแม้แต่น้อย
ที่นี่ห่างจากปารีสไกลพอสมควร ยังคงสภาพแบบชนบทแท้ๆ นับตั้งแต่สมัยของดูบิกนี่มาจนบัดนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้น มีคฤหาสน์โอ่อ่าอยู่เรียงราย บ้านผู้ดีมีเงินปลูกแบบสมัยใหม่ก็มีแซมสลับกัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใส อาบด้วยแสงแดด ทั้งผืนดินก็ยังปูลาดไปด้วยพุ่มดอกไม้
มันเป็นเมืองที่ครอบงำไปด้วยความชุ่มฉ่ำของธรรมชาติอย่าง แท้จริง มีการเคลื่อนไหว หรือเกิดภาวะสังคมใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัยอะไรเพราะส่วนรวมยังคงสภาพแบบธรรมชาติของมันอยู่ ยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปรบกวน เมื่อมองไปรอบๆจะเห็นแต่ท้องทุ่งอันเขียวขจี เป็นทัศนียภาพที่น่าชมยิ่งนัก.......
........................
ถัดจากจดหมายฉบับนี้มาอีกหนึ่งเดือน หลังจาก แวนก๊อก ได้เข้าไปปารีส ได้ไปเยี่ยมครอบครัวของน้องชาย เขาต้องได้รับความสะเทือนใจอย่างมาก เมื่อได้ทราบถึงภาวะคับแค้นบางอย่างเกิดขึ้น แก่ครอบครัวของธีโอน้องชายที่รักของเขา เมื่อเขากลับมายังบ้านพักชนบท จึงได้มีจดหมายไปยังน้องชายและภรรยา ดังนี้.........................
"น้องและน้องสาวที่รัก"
จดหมายของโจทำให้พี่รู้สึกคล้ายกับอ่าน คำเทศนา มันได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์อันอัดอั้นใจมาตลอดเวลาให้ผ่อนคลายไปได้ พี่เองก็วิตกกังวลและกลัดกลุ้มใจอย่างหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเธอ ถูกละเธอกำลังพยายามแก้ไขกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เมื่อคิดดูว่าอนาคตก็ยังคงเห็นรัวๆอยู่ สิ่งประกันสวัสดิภาพของปากและท้องให้สูญสลายไป มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆมาหักล้างให้เราพยายามสะกดกั้นจิตใจให้พยายามคิดว่ามัน เป็นเรื่องเล็กๆเพราะพี่ตระหนักชัดแก่ใจว่า
ทั้งพลังกายและใจที่มีอยู่นั้น มันเริ่มอ่อนเปลี้ยลงไปทุกขณะ
ให้ย้อนกลับมาดูที่นี่ จิตใจพี่ยังคงหม่นหมองหดหู่อย่างบอกไม่ถูก พายุร้ายที่โหมกระพือสาดซัดไปยังตัวเธอนั้นแท้จรืงมันกำลังกระแทกกระทั้น อยู่บนตัวพี่จนตั้งตัวไม่ติดเช่นกัน อะไรที่ได้พยายามกระทำลงไปบ้าง ให้ดูซิ ฉันพยายามจะฝืนทำใจให้ร่าเริงแจ่มใส แต่ไอ้เจ้าชีวิตและความสำนึกเหล่านั้นซิ มันละดมกันถอนรากแก้วสายใยของชีวิต จนทุกย่างก้าวที่ได้ย่างออกไปนั้น รู้สึกว่ามันหลวม คลอนแคลน ขาดความมั่นคง และความแน่ใจอย่างหมดสิ้น
ฉันกลัว.............อาจจะไม่ใช่ที่ สุด....................เจ้าสิ่งที่กำลังเผาผลาญเธออยู่นั้นซึ่งเธอพยายาม ห้ามพี่ไม่ให้ไปใสใจต่อมัน จดหมายของโจบอกว่า น้องเข้าใจในตัวพี่ดี ถึงกระนั้นพี่เองมันยังคงตื้อตัน มึนงงไปหมด ก็เหมือนกับที่เธอเป็นอยู่นั่นแหละ
ลองย้อนดูสภาพของพี่อีกสักครั้งหนึ่งดูบ้าง พี่พยายามหักใจและเริ่มลงมือเขียนรูปแต่ไอ้เจ้าภู่กันเจ้ากรรม มันกลับเลื่อนหลุดไปจากนิ้วมือ มันคงรู้จิตใจพี่ดีว่า ขณะนี้กำลังต้องการที่จะทำอะไร ถึงกระนั้นพี่ก็พยายามเขียนรูปขนาดใหญ่เสร็จไปสามภาพด้วยกัน
รูปหนึ่ง เป็นภาพท้องทุ่งข้าวโพดอันเวิ้งว้าง ภายใต้ท้องฟ้าที่ปั่นป่วนหนักอึ้ง ซึ่งพี่ไม่อยากจะบรรยายย้ำความรู้สึกที่แสนเศร้า,และอารมณ์เปล่าเปลี่ยวที่ ครอบงำจิตใจอยู่ในขณะนี้ พี่หวังว่าน้องคงจะเห็นมันในไม่ช้านี้ ถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ พี่จะขนเอาเข้าไปให้ดูที่ปารีสด้วยตนเอง ภาพนี้มันคงจะบอกเล่าความในใจของพี่ให้น้องฟังเอง ส่วนพี่นั้นไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดใดๆออกมาได้
ภาพต่อมาก็ตือสวนของดูบิคนี่ ซึ่งสถานที่นี้พี่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อย่างเข้ามาใหม่ๆ ว่าจะเขียนมันให้ได้
ด้วย ความหวังที่ทุ่มเทอย่างหมดใจ ถึงการตั้งใจเพื่อจะเดินทางมาครั้งนี้คงทำให้เธอเกิดความยุ่งยากใจขึ้นบ้าง ละกระมัง
หวนมาถึงเจ้า หลานน้อยของพี่ พี่หวังไว้ว่าถ้าแกจะมีโอกาสไดฝึกฝนการเขียนรูปก็จะดีไม่ใช่น้อย เพราะแกคงจะรับถ่ายทอดวิญญาณที่รักทางนี้มาจากเธออย่างเต็มเปี่ยมทีเดียว แต่ช่างเถิดมันเป็นเรื่องที่อาจจะไม่เป็นเรื่อง สำหรับพี่-----อย่างน้อยที่สุดพี่เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองแก่เกินไป ที่จะย้อนกลับไปดำเนินชีวิตบางอย่างที่ผิดแผกไปจากปัจจุบันที่เป็นอยู่นี้ ความมุ่งหมายอันนี้เอง ได้ผลักไสให้พี่จมปรักอยู่ ในห้วงความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างแสนสาหัส เพราะสิ่งที่เป็นอยู่มันเกินกำลังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่ลดละ------"
............................
จดหมายฉบับสุดท้าย ห่างจากฉบับแรก ประมาณเกือบเดือน จดหมายฉบับนี้ต่อจากฉบับข้างต้น ได้ค้นพบในร่างของแวนก๊อกหลังจากที่เขายิงตัวตายเมื่อวันที่ 27กรกฎาคม ค.ศ.1890 มีข้อความหลายประโยคที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของธีโอได้ถูกตัดออกเสีย คงเหลือผลความดังนี้
............................
[You must be registered and logged in to see this image.]
"น้องรัก"
ขอขอบใจในความกรุณาของเธอที่มีจดหมายมาพร้อมกับสอดเงิน มาให้ด้วย 50 ฟรังค์---นับตั้งแต่เจ้าความยุ่งยากต่างๆกำลังเริ่มคลี่คลายดีขึ้น ทำไมพี่จึงจะมาพูดถึงสิ่งที่มีความสำคัญอันกระจิดริดอีกเล่า แต่เอาเถิดพี่จะพูด
ก่อน อื่น เราควรจะหยิบยกปัญหาธุรกิจขึ้นมาพูดกันให้มากสักหน่อย ซึ่งดูจะเป็นหนทางอันยาวเหยียดมันเป็นมรรคาที่เราจะต้องดำเนินไป.........
ความมุ่งหมาย อันแท้จริงของจิตรกรนั้น ก็คือพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมเข้าไปข้องแวะกับธุรกิจของการค้า
สิ่งนี้แหละคือความจริง เพราะเราต้องการแต่อย่างเดียวคือ พยายามปลุกปล้ำต่อภาพเขียนของเรา ให้มันพูดได้ เรื่องนี้พี่เองได้เคยกล่าวกับเธอบ่อยๆและได้เคยย้ำมันไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ขึ้นไป เราพยายามรวบรวมสรรพกำลังใจให้มีสมาธิอย่างแน่วแน่ เพื่อบรรดาลให้งานของเราบรรลุผลดีที่สุดที่จะดีได้ สำหรับพี่นั้นขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนี่งว่า แม้ว่าเธอจะเป็นนักจำหน่ายศิลป แต่เธอก็มีอไรบางอย่าง ผิดแผกไปจากพวกนักขายภาพเขียนของโคโร ซึ่งพี่สังเกตเห็นได้ชัดตลอดมา บอกตรงๆว่า พี่คิดฝันไปว่า เธอควรจะกลายเป็นผู้ผลิตภาพเขียนเหล่านั้นเองเสียมากกว่า ซึ่งต่อไปมันควรจะแปรรูปมาเช่นนี้ ลองคิดดูว่ามีอะไรที่จีรังยั่งยืนบ้างแม้แต่กลียุคอันแสนเข็ญ ก็ยังมีวันที่คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติลงได้
มันเป็นความในใจอันแท้จริงของพี่ และเป็นความมุ่งหมายทั้งหมด หรือข้อใหญ่ใจความที่พี่ตั้งใจจะบอกเล่ากับเธอ ดูเอาเถิดต่อความวุ่นวายของสิ่งยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ขายงานศิลปะ กับจิตรกรผู้ตายไปแล้ว หรือแม้แต่จิตรกรผู้มีชีวิตอยู่ก็เถอะ ไม่เป็นสิ่งที่น่าจำเริญใจเลยแม้แต่น้อย
ทีนี้สำหรับงานของพี่เองบ้างล่ะ ขณะที่กำลังพะว้าพะวังหมิ่นเหม่อยู่กับความตายเช่นนี้ พี่ยังอดพะวงคิดถึงมันเสียมิได้แน่ละพี่ยังคงทำงานค้างเติ่งอยู่ ความคิดและอุดมคติทางศิลป ยังไม่เข้าแถวเข้าแนว และยังไม่บรรลุผลดังที่หวังไว้เต็มที่นี่เป็นของแน่นอนที่สุด พี่รู้ดีว่าเธอมิใช่บุคคลประเภทนักจำหน่ายงานศิลป มือดาดๆ เรื่องนี้พี่ทราบแก่ใจดีอยู่แล้ว น้องย่อมมีตาสูงที่จะรู้จักเลือกเฟ้นเก็บสิ่งที่ดีเอาไว้ และควรจะกระทำการใดๆลงไปโดยเห็นแก่เหตุผลของมนุษยธรรมอย่างแท้จริง แต่นั่นแหละ ประโยชน์ของมันคืออะไรเล่า"
.............................
แวนก๊อกได้จบชีวิตของตน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ.1890 ภายในอ้อมแขนของน้องชาย ส่วนธีโอเองหลังจากสิ้นชีวิตพี่ชายที่เขารักและบูชาไปไม่นานนัก หลังจากนั้นมาอีก5เดือนเศษเขาก็จบชีวิตของตนเอง ด้วยความระทมทุกข์ตายตามไปด้วย ร่างของทั้งสองฝังอยู่เคียงข้างกัน แม้แต่ความตาย เขาก็ยังไม่ยอมแยกกัน นี่แหละคือความรักอันแท้จริงของพี่และน้อง ซึ่งมีสายใยของรสนิยมทางศิลปะเป็นเครื่องผูกผันซึ่งกันและกันอยู่ตลอดมา----------------------------
น.ณ.ปาก น้ำ
จากหนังสือ 5รอบ ประยูร อุลุชาฎะ
สำนักพิมพ์มติชน
จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาสที่อาจารย์ ประยูร อุลุชาฎะ ผู้เขียน อายุครบ60ปี
ลิขสิทธ์หนังสือเล่มนี้
อุทิศให้เป็นกองทุน ศิลป พีระศรี
เพื่อนำเงินช่วยเหลือศิลปินด้านจิตรกรรม
---------------------------
ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือของ มาร์ค รอสกิลล์ เรื่อง "จดหมายของแวนก๊อก"ในหนังสือเล่มนั้นรวบรวมจดหมายทุกฉบับของแวนก๊อก จิตรกรเอกสมัยโพสท์ อิมเพรสชั่นนิสม์
ซึ่งมีไปถึงน้องชายของเขา ตั้งแต่สมัยที่แวนก๊อกยังเป็นเสมียนหนุ่มแห่งร้านจำหน่ายงานศิลปสาขาใน ลอนดอน จนกลับมาอยู่กับบิดายังฮอลแลนด์แล้วไปเป็นนักสอนศาสนาที่เหมืองแร่แห่งหนึ่ง ในเบลเยี่ยม ต่อมาก็มาหัดฝึกเขียนภาพที่กรุงเฮก เขาเล่าเรื่องชีวิตไว้อย่างละเอียดลออมาก มีข้อความที่จับใจอยู่หลายตอน เขาพรรณนาถึงตอนที่มีจิตใจโน้มเอียงหันเหมาทางเขียนรูป ในจดหมายเหล่านั้นได้ทราบความจริงว่าธีโอน้องชายของเขาเป็นคนดีและรักพี่ชาย ของเขามาก เป็นคนมีรสนิยมสูง เขาไดถถกันถึงวรรณคดีสูงๆของ วิคเตอร์ ฮิวโก อิมิลโซร่า และมีใจตรงกันที่ต่างก็หลงใหลในภาพเขียนของ เรมบรังค์ และมิลเล่ท์เป็นชีวิตจิตใจ สำหรับแวนก๊อกนั้นจดหมายแทบทุกฉบับ เขาจะพร่ำเพ้อถึงมิลเล่ท์อยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าจิครกรกลุ่มบาร์บิซงแทบทุกคนจะมีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจของแวนก๊อก เป็นอย่างมาก เราได้รับทราบความเป็นจริงว่า นอกจากแวนก๊อกจะเป็นจิตรกรวิเศษที่เข้าถึงแก่นธรรมชาติอย่างแท้จริงแล้ว เขายังเป็นนักอ่านหนังสือตัวยง เขารักและหลงไหลในงานด้านวรรณกรรมและปรัชญาต่างๆ อย่างชนิดหาตัวจับได้ยาก เขาใจกว้างพอที่จะจับในข้อความหลายตอนในเรื่อง"กระท่อมน้อยของลุงทอม" ของแฮเรียต บิชเชอร์สโตว์ และขณะเดียวกันเขาหันไปถกถึงข้อความอันลึกซึ้งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
แม้ ว่าแวนก๊อกจะเป็นชาวดัช และสมัยต้นๆนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเขียนภาพในฝรั่งเศสแต่ตอนนั้นก็หลงไหลใน จิตรกรฝรั่งเศสหลายคน เช่น เดอลา ครัวช์ ดูเปร์,เชริโค และ ดูเมียร์ เขาชอบใจในวาทะของคูร์เบท์ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ''peindre des anges,qui est-ce qui a vu des anges?"(เขียนรูปเทวดาน่ะหรือ!ใครเล่าเคยเห็นบ้าง) เป็นความจริงที่ว่าจิตรกรควรเคารพนับถือความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่ควรจะฟุ้งฝันให้ไกลเกินไปนัก ด้วยเหตุนี้ภาพเขียนของแวนก๊อก จึงดำเนินรอยตามคติของนักเรียลลิสม์ ทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนวิธีการเขียน และเทคนิคการใช้สีนั้น เขาบูชาวิธีการของอิมเพรสชั่นนิสม์
ด้วยการอุปถัมภ์จากบิดาในสมัยที่ท่านยังมี ชีวิตอยู่ และจากธีโอน้องชายได้ช่วยส่งเสียให้เขาเขียนรูปอยู่ได้ตลอดมา-แม้ว่าจะขาย รูปไม่ได้เลย,ภาพเขียนของเขาก้าวไปไกลเกินกว่าที่คนในยุคนั้นจะเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงประสบความคับแค้นใจจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อเขาตายไป ไม่นานเท่าไร จึงเริ่มจะมีคนเข้าใจ และจนเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกว่าเขาเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค
ภาพเขียนของเขาจึงเป็นเรื่องการหลั่งไหล ของอารมณ์ ความรักหลงใหลในธรรมชาติอย่างแท้จริง มันคือตัวแทนในความนึกคิดของเขาแท้ๆยิ่งภาพเขียนสมัยหลังๆ ตอนที่เขาไปอยู่ยังจังหวัดอารส์ภาคใต้ของฝรั่งเศส ตอนนั้นโดนมรสุมของชีวิตอย่างหนักหน่วง ทำให้จิตใจวิปริตไปพักหนึ่ง ถึงแก่ตัดใบหูของตนข้างหนึ่งให้แก่ผู้หญิงหากิน เพียงแต่นางหยอกล้อขอหูของเขาเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นศิลปินและเป็นคนจริงเขาจึงบ้าระห่ำกระทำลงไปโดยไม่คำนึงถึง ตนเองแต่ผลที่ได้รับกลับถูกชาวเมืองกล่าวหาว่าเสียจริต เขาจึงมีชีวิตอยู่ต่อมาด้วยความหวาดระแวงบนห้องแคบๆของบ้านสีเหลือง ตอนนี้ต้องหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ทำให้เขาเขียนภาพพอทเตรทตัวเองไว้หลายรูป ภาพห้องนอน และภาพสติลไลฟ์ด้วย แต่สิ่งแวดล้อมทำให้เขาถึงแก่คลุ้มคลั่งมองเห็น ไปว่าชาวเมืองพากันรุมวางยาพิษตน ผลที่สุดก็ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลโรคจิต
ระยะนี้น้องชายของเขาแต่งงาน และมีลูกน้อยเกิดตามกันมา เมื่อแวนก๊อกออกจากโรงพยาบาล ก็เข้าปารีส แลได้ไปอยู่นอกชานเมืองปารีสภายใต้ความอุปถัมภ์ของ ด๊อกเตอร์กาเช่ท์ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่เข้าใจและเห็นคุณค่าในงานของเขา ต่อมาไม่นานก็เกิดเรื่องยุ่งยากในครอบครัวของธีโอน้องชาย เพราะเกิดการขัดแย้งกับเจ้าของร้านจำหน่ายงานศิลป ซึ่งธีโอทำงานอยู่ และต้องออกจากงานมาเคว้งคว้าง ระยะนี้เป็นระยะที่จิตใจของแวนก๊อกปั่นป่วนว้าวุ่นขนาดหนัก ข้าพเจ้าได้ถอดข้อความจากจดหมายฉบับหลังๆ และจดหมายฉบับสุดท้ายของแวนก๊อก ถ่ายถอดออกมาให้ท่านผู้อ่าน ได้เห็นความรู้สึกนึกคิดของเขาในขณะนั้น ซึ่งเขาจะเป็นผู้บรรยายและบันทึกเหตุการณ์ด้วยตนเอง และขอให้ดูภาพเขียนชิ้นสุดท้ายของเขาประกอบกันไปด้วย จะทำให้ท่านได้ซาบซึ้งในภาพเขียนของเขายิ่งขึ้น
...................................
[You must be registered and logged in to see this image.]
"ธีโอและโจที่รัก"
เช้าวันนี้พีได้รับจดหมายจากเธอ พร้อมกับเงินห้าสิบฟรังค์ที่สอดมาด้วย ขอขอบใจเป็นอย่างมาก
วันนี้พี่ได้พบ ดร.กาเช่ท์ อีก นัดกันไว้ว่าจะไปเขียนรูปที่บ้านเขาในวันพฤหัสโดยพี่จะไปแต่เช้า แล้วก็จะเลยอยู่รับประทานอาหารด้วย
หลังจากนั้นก็จะไปดูภาพเขียนของพี่ด้วยกัน รู้สึกว่าเขาเป็นคนค่อนข้างจะอ่านได้ง่ายสักหน่อย ท่าทางไม่ค่อยกระตือรือร้นในอาชีพแพทย์ของเขาเท่าไหร่นัก ผิดกับพี่ที่เอาจริงเอาจังต่อการเขียนรูปอยู่ตลอดเวลา พี่บอกกับเขาว่านิสัยของพี่มันคุ้มดีคุ้มร้าย อารมณ์ผันผวนได้ง่าย พอดีพอร้ายอาจยุติมิตรภาพที่มีต่อกันเอาดื้อๆ เขาตอบว่าไม่เป็นไร แม้ว่าจะมีภาวะผันผวน หรือพายุร้ายพัดกระพือในจิตใจพี่สักเพียงไร เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อระงับมันเสีย ถ้าหากมันถึงคราวที่อารมณ์ชนิดอย่างว่านี้มันเกิดขึ้นก็ปล่อยให้มันเป็นไป ตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นจะต้องฝืนความรู้สึกแสร้งจริงใจต่อเขา ดีละ!
ถ้าเป็นไปได้เช่นนี้เมื่อไรที่พี่ต้องการ เขาก็คงจไม่มีอะไรผิดหวัง มันเป็นนิมิตรดีดูท่าทีอะไรต่ออะไรจะแจ่มใสขึ้น คิดว่าต่อไปคงจะดียิ่งไปกว่านี้ พี่ยังคิดเลยเถิดไปอีกว่า ทางภาคใต้นั้นโรคภัยแปลกๆมันชุกชุมมาก พี่เองเคยประสบต่อมันมาแล้วการกลับครั้งนี้คงจะขจัดปัดเป่าเรื่องเหล่านี้ไป ได้หมด
พี่ระลึกถึงหลานตัว เล็กๆของพี่อยู่เสมอ พี่อยากให้แกโตวันโตคืนจะได้มาเที่ยวยังเมืองชนบทที่นี่บ้าง แทนที่จะเดินทางไปฮออลแลนด์อันเป็นกิจวัตรประจำปีที่เธอเตยปฎิบัติ จะเ)นการดีที่สุดถ้าเธอและโจจะนำเจ้าหนูน้อยไปพักผ่อนกับพี่บ้าง ถูกละพี่เข้าใจดีว่าคุณแม่คงอยากจะเห็นหลานของแก นี่ละเป็นเหตุผลที่เธอคงหลีกเลี่ยงไม่พ้น เป็นอันว่าน้องควรต้องไปฮออลแลนด์แน่ๆ แต่พี่ยังคิดว่าคุณแม่คงห่วงใยต่อสุขภาพของเด็กมากกว่าสิ่งอื่น เพราะยังไงไม่ควรที่จะนำเด็กเล็กๆเดินทางไประยะไกลๆเช้นนั้น ซึ่งไม่ให้ผลดีต่อความปลอดภัยของเด็กเลยแม้แต่น้อย
ที่นี่ห่างจากปารีสไกลพอสมควร ยังคงสภาพแบบชนบทแท้ๆ นับตั้งแต่สมัยของดูบิกนี่มาจนบัดนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้น มีคฤหาสน์โอ่อ่าอยู่เรียงราย บ้านผู้ดีมีเงินปลูกแบบสมัยใหม่ก็มีแซมสลับกัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใส อาบด้วยแสงแดด ทั้งผืนดินก็ยังปูลาดไปด้วยพุ่มดอกไม้
มันเป็นเมืองที่ครอบงำไปด้วยความชุ่มฉ่ำของธรรมชาติอย่าง แท้จริง มีการเคลื่อนไหว หรือเกิดภาวะสังคมใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัยอะไรเพราะส่วนรวมยังคงสภาพแบบธรรมชาติของมันอยู่ ยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปรบกวน เมื่อมองไปรอบๆจะเห็นแต่ท้องทุ่งอันเขียวขจี เป็นทัศนียภาพที่น่าชมยิ่งนัก.......
........................
ถัดจากจดหมายฉบับนี้มาอีกหนึ่งเดือน หลังจาก แวนก๊อก ได้เข้าไปปารีส ได้ไปเยี่ยมครอบครัวของน้องชาย เขาต้องได้รับความสะเทือนใจอย่างมาก เมื่อได้ทราบถึงภาวะคับแค้นบางอย่างเกิดขึ้น แก่ครอบครัวของธีโอน้องชายที่รักของเขา เมื่อเขากลับมายังบ้านพักชนบท จึงได้มีจดหมายไปยังน้องชายและภรรยา ดังนี้.........................
"น้องและน้องสาวที่รัก"
จดหมายของโจทำให้พี่รู้สึกคล้ายกับอ่าน คำเทศนา มันได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์อันอัดอั้นใจมาตลอดเวลาให้ผ่อนคลายไปได้ พี่เองก็วิตกกังวลและกลัดกลุ้มใจอย่างหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเธอ ถูกละเธอกำลังพยายามแก้ไขกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เมื่อคิดดูว่าอนาคตก็ยังคงเห็นรัวๆอยู่ สิ่งประกันสวัสดิภาพของปากและท้องให้สูญสลายไป มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆมาหักล้างให้เราพยายามสะกดกั้นจิตใจให้พยายามคิดว่ามัน เป็นเรื่องเล็กๆเพราะพี่ตระหนักชัดแก่ใจว่า
ทั้งพลังกายและใจที่มีอยู่นั้น มันเริ่มอ่อนเปลี้ยลงไปทุกขณะ
ให้ย้อนกลับมาดูที่นี่ จิตใจพี่ยังคงหม่นหมองหดหู่อย่างบอกไม่ถูก พายุร้ายที่โหมกระพือสาดซัดไปยังตัวเธอนั้นแท้จรืงมันกำลังกระแทกกระทั้น อยู่บนตัวพี่จนตั้งตัวไม่ติดเช่นกัน อะไรที่ได้พยายามกระทำลงไปบ้าง ให้ดูซิ ฉันพยายามจะฝืนทำใจให้ร่าเริงแจ่มใส แต่ไอ้เจ้าชีวิตและความสำนึกเหล่านั้นซิ มันละดมกันถอนรากแก้วสายใยของชีวิต จนทุกย่างก้าวที่ได้ย่างออกไปนั้น รู้สึกว่ามันหลวม คลอนแคลน ขาดความมั่นคง และความแน่ใจอย่างหมดสิ้น
ฉันกลัว.............อาจจะไม่ใช่ที่ สุด....................เจ้าสิ่งที่กำลังเผาผลาญเธออยู่นั้นซึ่งเธอพยายาม ห้ามพี่ไม่ให้ไปใสใจต่อมัน จดหมายของโจบอกว่า น้องเข้าใจในตัวพี่ดี ถึงกระนั้นพี่เองมันยังคงตื้อตัน มึนงงไปหมด ก็เหมือนกับที่เธอเป็นอยู่นั่นแหละ
ลองย้อนดูสภาพของพี่อีกสักครั้งหนึ่งดูบ้าง พี่พยายามหักใจและเริ่มลงมือเขียนรูปแต่ไอ้เจ้าภู่กันเจ้ากรรม มันกลับเลื่อนหลุดไปจากนิ้วมือ มันคงรู้จิตใจพี่ดีว่า ขณะนี้กำลังต้องการที่จะทำอะไร ถึงกระนั้นพี่ก็พยายามเขียนรูปขนาดใหญ่เสร็จไปสามภาพด้วยกัน
รูปหนึ่ง เป็นภาพท้องทุ่งข้าวโพดอันเวิ้งว้าง ภายใต้ท้องฟ้าที่ปั่นป่วนหนักอึ้ง ซึ่งพี่ไม่อยากจะบรรยายย้ำความรู้สึกที่แสนเศร้า,และอารมณ์เปล่าเปลี่ยวที่ ครอบงำจิตใจอยู่ในขณะนี้ พี่หวังว่าน้องคงจะเห็นมันในไม่ช้านี้ ถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ พี่จะขนเอาเข้าไปให้ดูที่ปารีสด้วยตนเอง ภาพนี้มันคงจะบอกเล่าความในใจของพี่ให้น้องฟังเอง ส่วนพี่นั้นไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดใดๆออกมาได้
ภาพต่อมาก็ตือสวนของดูบิคนี่ ซึ่งสถานที่นี้พี่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อย่างเข้ามาใหม่ๆ ว่าจะเขียนมันให้ได้
ด้วย ความหวังที่ทุ่มเทอย่างหมดใจ ถึงการตั้งใจเพื่อจะเดินทางมาครั้งนี้คงทำให้เธอเกิดความยุ่งยากใจขึ้นบ้าง ละกระมัง
หวนมาถึงเจ้า หลานน้อยของพี่ พี่หวังไว้ว่าถ้าแกจะมีโอกาสไดฝึกฝนการเขียนรูปก็จะดีไม่ใช่น้อย เพราะแกคงจะรับถ่ายทอดวิญญาณที่รักทางนี้มาจากเธออย่างเต็มเปี่ยมทีเดียว แต่ช่างเถิดมันเป็นเรื่องที่อาจจะไม่เป็นเรื่อง สำหรับพี่-----อย่างน้อยที่สุดพี่เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองแก่เกินไป ที่จะย้อนกลับไปดำเนินชีวิตบางอย่างที่ผิดแผกไปจากปัจจุบันที่เป็นอยู่นี้ ความมุ่งหมายอันนี้เอง ได้ผลักไสให้พี่จมปรักอยู่ ในห้วงความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างแสนสาหัส เพราะสิ่งที่เป็นอยู่มันเกินกำลังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่ลดละ------"
............................
จดหมายฉบับสุดท้าย ห่างจากฉบับแรก ประมาณเกือบเดือน จดหมายฉบับนี้ต่อจากฉบับข้างต้น ได้ค้นพบในร่างของแวนก๊อกหลังจากที่เขายิงตัวตายเมื่อวันที่ 27กรกฎาคม ค.ศ.1890 มีข้อความหลายประโยคที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของธีโอได้ถูกตัดออกเสีย คงเหลือผลความดังนี้
............................
[You must be registered and logged in to see this image.]
"น้องรัก"
ขอขอบใจในความกรุณาของเธอที่มีจดหมายมาพร้อมกับสอดเงิน มาให้ด้วย 50 ฟรังค์---นับตั้งแต่เจ้าความยุ่งยากต่างๆกำลังเริ่มคลี่คลายดีขึ้น ทำไมพี่จึงจะมาพูดถึงสิ่งที่มีความสำคัญอันกระจิดริดอีกเล่า แต่เอาเถิดพี่จะพูด
ก่อน อื่น เราควรจะหยิบยกปัญหาธุรกิจขึ้นมาพูดกันให้มากสักหน่อย ซึ่งดูจะเป็นหนทางอันยาวเหยียดมันเป็นมรรคาที่เราจะต้องดำเนินไป.........
ความมุ่งหมาย อันแท้จริงของจิตรกรนั้น ก็คือพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมเข้าไปข้องแวะกับธุรกิจของการค้า
สิ่งนี้แหละคือความจริง เพราะเราต้องการแต่อย่างเดียวคือ พยายามปลุกปล้ำต่อภาพเขียนของเรา ให้มันพูดได้ เรื่องนี้พี่เองได้เคยกล่าวกับเธอบ่อยๆและได้เคยย้ำมันไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ขึ้นไป เราพยายามรวบรวมสรรพกำลังใจให้มีสมาธิอย่างแน่วแน่ เพื่อบรรดาลให้งานของเราบรรลุผลดีที่สุดที่จะดีได้ สำหรับพี่นั้นขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนี่งว่า แม้ว่าเธอจะเป็นนักจำหน่ายศิลป แต่เธอก็มีอไรบางอย่าง ผิดแผกไปจากพวกนักขายภาพเขียนของโคโร ซึ่งพี่สังเกตเห็นได้ชัดตลอดมา บอกตรงๆว่า พี่คิดฝันไปว่า เธอควรจะกลายเป็นผู้ผลิตภาพเขียนเหล่านั้นเองเสียมากกว่า ซึ่งต่อไปมันควรจะแปรรูปมาเช่นนี้ ลองคิดดูว่ามีอะไรที่จีรังยั่งยืนบ้างแม้แต่กลียุคอันแสนเข็ญ ก็ยังมีวันที่คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติลงได้
มันเป็นความในใจอันแท้จริงของพี่ และเป็นความมุ่งหมายทั้งหมด หรือข้อใหญ่ใจความที่พี่ตั้งใจจะบอกเล่ากับเธอ ดูเอาเถิดต่อความวุ่นวายของสิ่งยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ขายงานศิลปะ กับจิตรกรผู้ตายไปแล้ว หรือแม้แต่จิตรกรผู้มีชีวิตอยู่ก็เถอะ ไม่เป็นสิ่งที่น่าจำเริญใจเลยแม้แต่น้อย
ทีนี้สำหรับงานของพี่เองบ้างล่ะ ขณะที่กำลังพะว้าพะวังหมิ่นเหม่อยู่กับความตายเช่นนี้ พี่ยังอดพะวงคิดถึงมันเสียมิได้แน่ละพี่ยังคงทำงานค้างเติ่งอยู่ ความคิดและอุดมคติทางศิลป ยังไม่เข้าแถวเข้าแนว และยังไม่บรรลุผลดังที่หวังไว้เต็มที่นี่เป็นของแน่นอนที่สุด พี่รู้ดีว่าเธอมิใช่บุคคลประเภทนักจำหน่ายงานศิลป มือดาดๆ เรื่องนี้พี่ทราบแก่ใจดีอยู่แล้ว น้องย่อมมีตาสูงที่จะรู้จักเลือกเฟ้นเก็บสิ่งที่ดีเอาไว้ และควรจะกระทำการใดๆลงไปโดยเห็นแก่เหตุผลของมนุษยธรรมอย่างแท้จริง แต่นั่นแหละ ประโยชน์ของมันคืออะไรเล่า"
.............................
แวนก๊อกได้จบชีวิตของตน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ.1890 ภายในอ้อมแขนของน้องชาย ส่วนธีโอเองหลังจากสิ้นชีวิตพี่ชายที่เขารักและบูชาไปไม่นานนัก หลังจากนั้นมาอีก5เดือนเศษเขาก็จบชีวิตของตนเอง ด้วยความระทมทุกข์ตายตามไปด้วย ร่างของทั้งสองฝังอยู่เคียงข้างกัน แม้แต่ความตาย เขาก็ยังไม่ยอมแยกกัน นี่แหละคือความรักอันแท้จริงของพี่และน้อง ซึ่งมีสายใยของรสนิยมทางศิลปะเป็นเครื่องผูกผันซึ่งกันและกันอยู่ตลอดมา----------------------------